วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

รวม link ประกวดรางวัลเว็บ

เปิดมาต้นปี หลายค่าย หลายแหล่ง เริ่มเปิดรับเวลาทีประกวดกันแล้ว มีใครบ้างมาดูกัน

1. The Communicator Award
http://www.communicatorawards.com/home/


2.InteractiveMediaAwards
http://www.interactivemediaawards.com


3.The Webby Award
http://www.webbyawards.com

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Google+ เปิดตัว Business Page

เช้าวันอังคารที่ 8 พ.ย. 2011... ตื่นมาพร้อมกับข่าวที่ทุกคนรอคอย

การเปิดตัว Google Business Page หรือ Fan Page เครื่องมือที่จะทำให้ Brand เข้ามามีตัวตนใน Social Network ของ Google ภายใต้ชื่อ Google+

ตั้งแต่ยุคแรก ๆ ที่มี Social Network ในทุก ๆ Platform ก็มักจะมีการเตรียมเครื่องมือไว้ให้ Brand มาสร้างตัวตนอยู่แล้ว ในยุค hi5 รุ่งเรื่อง ก็มีเช่นกัน แต่ในตอนนั้นต้องเสียเงินในหลักแสนทีเดียว(ไม่นับรวมพวกที่่แอบทำ ซึ่งถ้าเขาจับได้จะโดนปิด) ถ้าหาก Brand จะเข้ามาสร้างตัวตน โปรโมตตัวเอง อยู่ใน hi5


เมื่อ hi5 เริ่มซาลง เปลี่ยนผ่านมายุคของ Facebook ยุคที่ Brand สามารถสร้าง Business Page ได้ฟรี โดยไม่ต้องเสียตังค์ซักกะบาท ทำำให้ Facebook ไปไกลได้มาก ลำพังเพียง Platform ที่เป็น Social ไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ผู้ใช้เข้ามามากนัก Platform ต้องสร้างเผื่อไว้ให้ Brand ได้เข้ามามีตัวตนได้ด้วย เพราะ Brand แต่ละ Brand จะช่วยมาสร้างสีสันให้กับ Social Network ได้มาก ทั้งจัดกิจกรรม ลด แลก แจก แถม ซึ่งจริง ๆ ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง CRM (Customer Relation Management) อยู่แล้ว



จากบทเรียน hi5 และ Facebook ทำให้ Google ใช้เวลานานพอสมควร (หลังจากเปิดตัว Google+ มาร่วม 3 เดือน) ในการพัฒนา Fan Page ของตัวเอง และใช้เครื่องมือทุกเครื่องมือที่ Google มี สร้างความแข็งแกร่งให้กับ Platform ของตนเอง




มาดูกันว่า Fan Page ของ Google+ มีฟังก์ชันอะไรกันบ้าง


Circle ในแฟนเพจ

หากเรามีการจัดกลุ่มลูกค้าลงใน Circle ก่อน เมื่อโพสข้อความลงในแฟนเพจ เราสามารถ Segment ได้ว่าให้ใครเห็นข้อมูลไหนที่ Admin โพสบ้าง

ข้อดี : สามารถแบ่งลูกค้าเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อสื่อสารถึงกันได้
ข้อเสีย : ถึงเวลาปฏิบัติไม่รู้จะทำได้จริงหรือเปล่า เพราะเวลา Members เพิ่มอย่างรวดเร็ว ก็อาจจะจัดกลุ่มกันไม่ไหวเหมือนกัน




Hangout ในแฟนเพจ

admin กับ สมาชิกสามารถ Hangout กันได้ ตอนนี้อาจจะไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์ซักเท่าไหร่ แต่ต่อไปก็ไม่แน่เหมือนกัน อาจจะเป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมก็เป็นไปได้




สร้าง Badge ไปใส่ที่เว็บอื่น

จุดหนึ่งที่สามารถสร้าง Awareness ในกับ Fan Page ได้อย่างแล้ว คือ ต้องมีเครื่องมือในการสร้าง Code ที่ง่าย เพื่อให้เจ้าของเว็บไซต์ เขา Fan Page ของเขาใน Google+ ไปโปรโมตในเว็บไซต์

ซึ่งเครื่องมือที่ทำออกมา ก็ถือว่าค่อนข้างง่าย มี Script และขนาดปุ่ม ให้เลือกหลายแบบ ตามแต่พื้นที่ที่จะนำไปใช้




Fan Page Measurement

นอกจากนั้น Function ในแ่ง่ของการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ ก็มีการเตรียม Report ไว้มากหน้าหลายตา ซึ่งก็คงต้องดูกันต่อไปว่า ซึ่งจะว่าไปแล้วก็น่าจะทำได้ดีไม่แพ้กัน เพราะ Google มีทีม Google Analytics ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยม







Application for Fan Page

อีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ประกาศออกมาชัดเจนว่า API ที่เชื่อมต่อกับ Fan Page สามารถทำอะไรได้บ้าง




บทสรุป

สำหรับ Google+ Business Page ต้องถือว่าดึงจุดแข็งหลาย ๆ จุดมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Circle Hangout รวมถึง Google Analytics ที่แต่ละตัวมีความสามารถที่โดดเด่นอยู่แล้ว แต่เมื่อมองในภาพรวม ยังคิดว่าฟังก์ัชันออกมาน้อยไปหน่อย ไม่สมกับที่รอคอย โดยเฉพาะ UI (User Interface) ที่ยังคล้าย Facebook อยู่มาก แถมบางอย่างเล่นได้น้อยกว่า Facebook ด้วยซ้ำ เช่นการเปลียนภาพโพรไฟล์ที่จำกัดขนาดไว้ที่ 200x200 pixels ซึ่งถือว่าเล็กมาก คงต้องติดตามกันต่อไปว่า Google+ Business Page จะไปได้ถึงฝั่งฝันที่ตั้งใจไว้หรือไม่

แต่ถ้าอยากสร้าง Google+ Business Page กันแล้ว ตามต่อได้ที่นี่

เริ่มต้นสร้าง Google+ Business Page

เริ่มต้นสร้าง Google+ Business Page

หลังจากตั้งท่ามานาน ในที่สุด Google Business Page ก็ออกมาโลดเล่นกันจนได้
มี VDO แนะนำตัวอย่างสั้น ๆ ว่า Google+ for Business มีฟังก์ชันอะไรบ้าง



โดยรายละเอียดเพิ่มเติมทั้งหมด สามารถเข้าไปดูรายละเอียดกันได้ที่
http://www.google.com/+/business/
โบว์ชัว


เมื่อเข้าไปจะมีปุ่ม Create Your Google+ Page ถ้าพร้อมที่จะสร้าง Google Business Page ก็คลิกตามไปเลย... หรือจะเข้าไปที่ URL https://plus.google.com/pages/create ก็ได้เช่นกัน



ขั้นตอนแรก ก็จะให้เลือกหมวดหมู่ Page ของคุณ ว่าเป็นประเภทใด (ว่าไปก็คล้าย ๆ Facebook Pages มากพอสมควร) โดยแบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้
  • ธุรกิจท้องถิ่นหรือสถานที่
  • สินค้าหรือแบรนด์
  • บริษัท สถาบัน องค์กร
  • ศิลปะ บันเทิง กีฬา
  • อื่น ๆ




คลิกเลือกหมวดหมู่และกรอกชื่อ Page ที่ต้องการ รวมถึงยังสามารถกำหนดได้ว่า Page นี้จะให้ใครเห็นได้บ้าง สำหรับทุกคน หรือจำกัดเฉพาะกลุ่ม




จากนั้นก็เลือกรูปมาทำเป็นภาพ Profile ของ Page ซึ่งถ้ามีเว็บเคมก็สามารถสั่งถ่ายภาพได้เลย หรือไม่ก็เลือกภาพจากที่เรามีอยู่ภายในเครื่อง


ขนาดภาพในเพจ ดูๆ ไปก็ไม่ได้ใหญ่มาก ขนาดแค่เพียง 200 x 200 pixels
และมีเครื่องมือสำหรับ crop มาให้ด้วย



จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย ที่สามารถเลือก Share ให้คนอื่นได้ หรือถ้าต้องการแชร์ทีหลังก็กดเสร็จสิ้นได้เลย



ระบบก็จะพาเราเข้ามาที่หน้าของ Page ซึ่งบอกได้คำเดียว เหมือน Profile มาก ๆ ทั้งขนาดภาพ การจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ



ให้ลองสังเกตที่ภาพของเพจ จะมีลูกค้าศรเล็ก ๆ พอไปคลิกจะสามารถสลับได้ ระหว่าง Profile หรือ Page โดยคลิกเลือกยังรายการที่ต้องการ และหากมี Page สร้างไว้เยอะ ก็จะสามารถเห็น Page ทั้งหมดรวมอยู่ที่นี่เลย



หน้าใครอยาก Join แวดวงด้านบน ก็ตาม link นี้เลยครับ
1.ฺBSC Cosmetology https://plus.google.com/102016884053089160954
2.Essence https://plus.google.com/100714704150916281769
3.Fame Line https://plus.google.com/103480179355663141396
4.i-Healti https://plus.google.com/111701145219414173213
5.SHEENe https://plus.google.com/116401168795464189327
7.Shokubutsu Foam https://plus.google.com/104483407665626001167
8.Shokubutsu For Men https://plus.google.com/111038384879589818602

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

iTunes Wi-Fi Sync จุดเปลี่ยน Apple สู่โลกไร้สาย

iTune ช่วย Apple ในหลาย ๆ อย่าง เช่นการเอาเพลง เอาหนัง เข้าเครื่อง ซึ่งแม้จะดูยากซักนิด แต่ทำให้รอดพ้นปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์มาได้ ไม่โดนฟ้องร้อง เช่น Napster แต่ว่าจะว่าไปจุดแข็งข้อนี้ ก็สร้างจุดบอดให้กับ iDevice มากมาย เพราะทุกอย่างต้องรอการเสียบสาย ถึงจะ Sync ได้ (หรือไม่ก็เอาไป Jailbreak)

คู่แข่งอย่าง Android แก้ไขและแซงหน้าไปนานแล้ว Sync สิ่งต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องเสียบสาย ขณะที่สินค้าตระกูล i ทุกตัว จะเอาอะไรใส่ไปในเครื่องที่ต้องเสียบสายและ Sync ผ่าน iTune เท่านั้น

ปฏิบัติการทลายจุดบอดจึงเริ่มขึ้น
iOS5 จึงมาพร้อมกับ Function หลัก iTune Wi-Fi Sync ไม่ง้อสายก็ Sync ได้





Apple ภูมิใจเสนอ นั่นก็คือ Wi-Fi Sync ทำให้เราไม่ต้องเสียบสาย USB อีกต่อไป ขอแค่อุปกรณ์เข้ามาอยู่บน Network เดียวกันก็พอ

ดังภาพพอ Device ทุกตัวอยู่บน Network เดียวกัน ก็เริ่ม Sync ได้เลย



วิธีการเปิด Wi-Fi Sync สำหรับ iTune

1. เปิด iTune พร้อมเสียบ iDevice ของเรา ไม่ว่าจะเป็น iPad, iPhone, iPod Touch
2. เลือกที่ Device ของเรา และ คลิกที่ Sync with this ... over Wi-Fi

3. หลังจากนั้นคลิกปุ่ม Apply

ย้ำ!!! ถ้าไม่ทำขั้นตอนนี้ Wi-Fi Sync จะใช้ไม่ได้



การบังคับ Sync ใน iDevice

โดยปกติ Wi-Fi Sync จะทำงานโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว... แต่้ถ้าต้องการบังคับ Sync ในแบบทันทีทันใดก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยเข้าไปที่ iDevice ของเรา

1. เข้าไปที่ Setting > General > iTune Wi-Fi Sync
2. คลิกที่ Sync Now



ข้อเน้นย้ำสำหรับ iTune Wi-Fi Sync
  • ทั้ง PC และ iDevice จะต้องอยู่บนโครงข่ายเดียวกัน เช่น iDevice เชื่อมผ่าน WiFi แต่ PC เชื่อมต่อผ่าน LAN ก็ได้ ถ้าสุดท้ายอยู่บน LAN เดียวกัน
  • ต้องเปิดฟังก์ชันนี้ทั้ง iDevice และใน iTune ด้วย มิฉะนั้น เจ้า iDevice ของเราจะฟ้องว่าไม่สามารถ Sync ได้

iMessage ส่ง SMS ฟรี จากค่าย Apple (ตอนที่ 1)


iOS5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันพฤหัสที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกับเครื่องมื่อใหม่อีกเพียบ หนึ่งในนั้นก็คือ iMessage โปรแกรม ที่จะส่งข้อความหากันระหว่าง สำหรับสินค้าตระกูล i ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คล้าย ๆ กับ BBM จากค่าย BlackBerry และก็ท้าชนโดยตรงกับ Whatsapp โปรแกรมที่ให้ทุก Platform ส่งข้อความหากันได้

ในวันแรกที่ iOS5 แถลงข่าว พร้อมฟังก์ชัน iMessage ก็ทำได้ Whatsapps เปิดให้ Download ฟรีทันที เพื่อดึงลูกค้าในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้นพอ iOS5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก็เปิดให้โหลดฟรีอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้พอคาดเดาได้ว่าจะเปิดให้ Download ฟรีตลอดไป


หลักการทำงานของ iMessage

การ ส่งข้อความเหมือนส่ง SMS ปกติจาก iPhone โดยหากคนที่ส่ง SMS หาก ใช้ iPhone และลงทะเบียน iMessage ไว้แล้ว จะเป็นบับเบิ้ลสีฟ้าท้ายชื่อของเขา พร้อมปุ่ม Send ก็จะเป็นสีฟ้า ซึ่งเป็นการส่งฟรี แต่หากเป็นสีเขียวแปลว่าเป็นการส่ง SMS ปกติ(ตอนแรก ๆ ปุ่มกดจะเป็นสีเทา ๆ อยู่สักพัก เพื่อเช็คว่าส่งผ่านอะไรดี)

การส่งข้อความไป iPad โปรแกรม iMessage ใช้อ้างอิงชื่อผู้รับจากอีเมล์ในการส่ง (ใช้แค่ชื่อในการอ้างอิง ไม่ได้มีการส่งข้อความใด ๆ ไปที่อีเมล์นั้น)

สรุป
  • ส่ง SMS ไป iPhone ให้สังเกต Bubble สีฟ้า หมายถึง ส่งฟรี ถ้าสีเขียวคือ SMS ปกติ หมายถึงเสียเงิน
  • ส่ง SMS ไปที่ iPad ก็ให้ใส่อีเมล์ แทนการใส่เบอร์โทรศัพท์ (iPad 1 WiFi ไม่สามารถใช้ได้)


วิธีเปิดใช้ iMessage
หลังจากลง iOS5 พร้อมขั้นตอนดังนี้
1. ไปที่ Setting
2. เลือก Messages
3. ใส่ Apple ID
4. สามารถเลือกได้ว่าจะสร้าง Apple ID ที่มีอยู่แล้ว หรือสร้างใหม่
5. ถ้าเป็นการสร้างใหม่ ก็เพียงกรอกชื่อ วันเดือนปีเกิด พร้อมอีเมล์ ระบบก็จะส่ง Verify Mail ไปยังอีเมล์ที่ลงทะเบียนไว้้น
6. ไปที่เมล์ หลังจากนั้นกดตอบรับก็เป็นอันใช้ iMessage ได้

เมื่อมีการ Setup iMessage ในครั้งแรก ระบบจะบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของ iPhone เครื่องนั้นไว้ เพื่อที่ว่าหากมีคนส่ง Message มาหา ถ้าเบอร์ลงทะเบียนไว้จะเป็นการส่งผ่าน iMessage แทน

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

Facebook ปรับเยอะมาก ในช่วงสองสัปดาห์นี้ั (@ Sep 21,2011)

ถ้า Facebook มีการนับ Version แบบซอฟแวร์ทั่ว ๆ ไปแล้วละก็ ในรอบสองสัปดาห์นี้ปรับเวอร์ชั่นกันเป็นว่าเล่นเลยทีึเดียว เพราะมี minor change เยอะมากในเว็บ เรียกได้ว่า ถ้าใครพอจะจำกันได้ แต่ก่อนไม่เยอะขนาดนี้แน่ ๆ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าทำไมต้องเตรียมตัวเยอะขนาดนั้น เพราะศัตรูหมายเลข 1 Google+ กำลังวิ่งหายใจแบบรดต้นคอใช้เครื่องมือทุกอย่าง เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด Social Network จาก Facebook

ส่วนหนึ่งที่ Facebook ปรับเยอะขนาดนี้ อีกมุมนึง เพื่อที่จะได้ให้ทันงาน f8 conference ซึ่งเป็นงานที่รวม Developer Facebook จากทั่วทุกมุมโลก มารวมตัวกัน มาฟังว่า Facebook มีอะไรใหม่ ๆ ให้เล่นบ้าง รวมถึัง อะไรที่เคยทำได้และทำไม่ได้แล้ว
https://www.facebook.com/f8?sk=wall

Top News กับ Most Recent ที่หายไปใน News Feed แบบเดิม



หลังจากพลเมือง Facebook ได้รู้จักการจัดรูปแบบคอนเทนต์บนหน้า News Feed มาพักใหญ่แล้ว โดยคอนเทนต์ที่แสดงผลบน News Feed สามารถเลือกแสดงผลได้สองแบบ คือ

1. Tops News แสดงข่าวที่คาดว่าเราจะสนใจ โดยใช้ Factors ต่าง ๆ ในการเดาใจเรา ไม่ว่าจะเป็น ความสนใจของเราต่อคอนเทนต์นั้น(โพสของคนหรือแฟนเพจที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมบ่อยๆ) ความสนใจของเพื่อน ๆ เรา (คอนเมนต์เพื่อนใต้กระทู้) รวมถึงเป็นความสนใจของคนทั่วไปใน Social Network (จำนวน LIKE)

2. Most Recent แสดงข่าวทั้งหมด เรียงตามลำดับเวลาล่าสุด


News Feed รูปแบบใหม่

หลาย ๆ คนคงเริ่มทยอยเห็น News Feed แบบใหม่กันแล้ว ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง หลากหลายความเห็น ถึงไม่ยอมอย่างไรก็ต้องรับสภาพ เพราะว่าเขาบังคับเปลี่ยนทุกคนอยู่แล้ว มาดูวิธีปรับตัวอยู่ร่วมกับ News Feed แบบใหม่กันดีกว่า ของใหม่ ก็ต้องมีอะไรดี ๆ อยู่แน่นอน

1. ลักษณะคอนเทนต์บน News Feed
Facebook เริ่มพยายามโยงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันมาเป็น pattern ในการจัดระเบียบ News Feed โดยมองว่าคล้าย ๆ กับการอ่านหนังสือพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ จะเป็นการสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในสัปดาห์นั้น ส่วนหนังสือพิมพ์รายวัน จะเป็นเหมือนการสรุปเรื่องราวที่ย้อนหลังไปไม่นานมาก

โดยมองผู้ใช้ว่า ถ้านาน ๆ ผู้ใช้เข้ามาที (เกิน 1-2 วันก็นานแล้ว สำหรับคนติด Facebook จัด ๆ ) ก็จะมีการสรุปโพสที่มีคนพูดถึงกันเยอะ มาให้อ่านกันก่อน (ดังภาพด้านล่าง ตำแหน่งความเลข 1) ส่วนใครที่เข้า

Facebook บ่อยอยู่แล้ว ส่วนของ Top stories ก็จะเห็นไม่บ่อย เพราะมองว่าเราอ่านไปแล้ว ดังนั้นก็จะแสดงข้อมูลโพส ตามลำดับก่อนหลังที่มีคนโพสตามลำดับเวลา (Recent Stories)












2. Ticker ของเล่นใหม่


จริง ๆ มันก็ไม่ใหม่ซักเท่าไหร่สำหรับการปรากฎตัวของ Ticker เพราะจริง ๆ มันมีมาซักพักแล้ว อยู่ด้านข้างของ Application ดังภาพด้านล่าง โดนตอนที่อยู่ในนั้นจะแสดงให้เห็นว่าใครกำลังใช้แอพฯตัวไหนบ้าง


















Ticker เข้ามาเพื่ออัพเดทว่าเพื่อนทำอะไร อยู่ที่ไหน แบบเรียลไทม์ ดูไปดูมาก็คล้าย ๆ Twitter เหมือนกันที่ดูว่าใครโพสอะไรบ้างแบบเรียลไทม์ ซึ่งเจ้า Ticker นี้จะเรียงลำดับโพสตามเวลา ถ้าใครโพสมานานแล้วก็อาจจะหาไม่เจอ

ลักษณะ



วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

เทคโนโลยี AR + Motion Detection กับวงการความสวยความงาม

เทคโนโลยี AR หรือ Augmented Reality เข้ามามีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะใช้ในการแสดง DEMO ของรถยนต์รุ่นต่าง ๆ มากมายจนแทบจะเรียกได้ว่าทำกันทุกยี่ห้อ


แม้แต่ในแวดวงเครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า เครื่องสำประดับ ก็ยังต้องโดดแกะกระแส AR กับเขาเช่นกัน

สมัยแรก ๆ ก็ต้องพิมพ์กระดาษออกมาแล้วก็มาส่อง ๆ กับกล้องกันก่อน


จุดเปลี่ยนที่ทำให้ AR มีความเป็น Human Touch มากขึ้น โดยมีการผสมเทคโนโลยี
Motion Detection ทำให้ตัว AR เอง สามารถรู้ได้ว่า บริเวณไหนคือส่วนใดของร่างกาย
และร่างกายกำลังหันในลักษณะใด เพื่อที่จะ render AR ออกมาให้ถูกต้องมากขึ้น

ตัวอย่างร้าน Jewelly ใน Australia ที่ใช้ AR เป็นตัวช่วยให้ลูกค้าเลือกเครื่องประดับ
ได้ถูกใจ สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกเครื่องประดับ




นอกจากนั้นก็ยังมีการใช้ AR ผสมเรื่องของ Motion Detection ผ่านทาง Mobile ได้เช่นกัน




ภาพสุดท้าย CISCO เขาใจดีทำให้เราดูว่า ถ้าเทคโนโลยีหลอมรวมถึงจุดนึงแล้ว จนตกผลึกแล้วละก็
พฤติกรรมของคนเรา ทั้งเรื่องการช้อปปิ้ง การลองเสื้อผ้า เครื่องประดับ รวมถึงการจ่ายเงินจะเปลี่ยนไปมากทีเดียว